มหัศจรรย์ฮาร์ดดิสก์ เห็นชื่ออย่าเข้าใจว่า ฮาร์ดดิสก์มหัศจรรย์ คนละดิสก์กัน ฮาร์ดดิสก์ในเรื่องนี้เป็น ฮาร์ดดิสก์ธรรมดา แถมยังเฉพาะเจาะจง กับ HD เก่า ๆ หรือที่ความจุต่ำ ๆ เท่านั้นมาเริ่มทำความ เข้าใจกันก่อน
ฮาร์ดดิสก์ (Harddisk)เป็นอุปกรณ์ที่สำคัญของเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีหน้าที่ในการเก็บข้อมูล หลังจาก การทำงาน ไฟล์ต่างๆก็จะถูกบันทึกไว้ในฮาร์ดดิสก์ ถ้าหากฮาร์ดดิสก์มีความจุมากก็ยิ่งสามารถ บันทึก ข้อมูลลงได้มากๆอีกทั้งยังเป็นพื้นที่สำหรับติดตั้งระบบปฏิบัติการเพื่อให้สามารถเรียกให้ โปรแกรมต่างๆ บนเครื่องคอมพิวเตอร์ได้ โดยหน้าที่ของฮาร์ดดิสก์เป็นแหล่งเก็บข้อมูลสำรองของคอมพิวเตอร์ ทำหน้าที่เก็บบันทึกข้อมูลไว้ได้อย่างถาวร แม้ในสภาวะที่ไม่มีการจ่ายกระแสไฟฟ้า ข้อมูลสำคัญจะไม่ สูญหายไป แม้เวลาปิดเครื่องไปแล้วก็ตาม เมื่อเปิดเครื่องขึ้นมาใหม่ก็สามารถดึงข้อมูลที่อยู่ใน ฮาร์ดดิสก์มาใช้ได้ต่อไป ฮาร์ดดิสก์เปรียบเสมือนตู้เก็บไฟล์เอกสารของเครื่องคอมพิวเตอร์นั่นเอง
เนื่องจากฮาร์ดดิสก์ที่เราทั้งหลายรู้จักกันดีนั้นภายในบรรจุไว้ด้วยกลไกที่ซับซ้อนมาก ถ้าในโลก อิเล็กทรอนิกส์ จะมี CPU เป็นส่วนที่ซับซ้อนที่สุดในคอมพิวเตอร์ แต่ในส่วน MECHANIC ที่ซับซ้อน ที่สุดในคอมพิวเตอร์ ก็น่าจะเป็นเจ้าตัว ฮาร์ดดิสก์ นี่แหละ โดยเฉพาะจะเห็นว่ายิ่งวัน ฮาร์ดดิสก์ ยิ่งมีความจุเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ลองนึกดูเมื่อ 40 กว่าปีก่อน ฮาร์ดดิสก์ แต่ละแผ่น จะมีเส้นผ่าศูนย์กลางถึง 10 กว่านิ้ว ดังนั้นในแต่ละตู้จะมีขนาดใหญ่พอ ๆ กับตู้เย็นขนาดย่อม ทั้งนี้ความจุของทั้งตู้ที่บรรจุ แผ่น อยู่หลายแผ่น ก็ไม่กี่ MEGABYTE (MEG) เท่านั้นเอง
ตั้งแต่วันนี้ ฮาร์ดดิสก์ได้ถูกพัฒนามาเรื่อย ๆจนมีขนาดเล็กลงจนถึง ฮาร์ดดิสก์ที่ใช้กับ PC ในรุ่นแรก ๆ เมื่อ 20 ปีที่แล้ว ฮาร์ดดิสก์ 1 ตัวมีความจุเพียง 20 MEG เท่านั้นเอง เมื่อขนาดจำกัดอยู่ที่ความโต ของแผ่น เป็นขนาด 3 นิ้ว แต่ความจุจำเป็นต้องเพิ่มขึ้น จึงมีการพัฒนากลไกและแผ่นภายใน ฮาร์ดดิสก์ เองอย่างมากมายจึงเพิ่มขนาดเป็น 80 MEG, 200 MEG, 800 MEG และ 1 GB ต่อมา จนถึงปัจจุบัน เป็น 40 GB, 80 GB และมากกว่า 100 GB ซึ่งราคาก็มิได้แพงขึ้นเป็นสัดส่วนของ ความจุตรงข้ามจะมีราคาลดลงด้วย สาเหตุคงเนื่องมาจากมีจำนวนผู้ใช้เพิ่มขึ้นนั้นเอง และเนื่องจากการ เพิ่มขนาดของ ฮาร์ดดิสก์ ในราคาที่ถูกลง ประกอบกับระบบปฏิบัติการใหญ่ขึ้น หรือโปรแกรมใหม่ ๆ ต้องการพื้นที่ ฮาร์ดดิสก์ ที่ใหญ่กว่าเดิมมาก ผู้ใช้ส่วนมากจึงต้องการจะเพิ่มขนาดของ ฮาร์ดดิสก์ ในเครื่องคอมพิวเตอร์ของตัวเองขึ้น จึงทำให้เกิดการถอด ฮาร์ดดิสก์ เก่าทิ้งวันละหลายพันตัว โดยไม่สามารถจะนำ ฮาร์ดดิสก์ ที่ถอดออกมานั้นไปทำอะไรได้ ทั้งที่ขณะซื้อมาจะมีราคาเฉลี่ยตัวละ 2 – 3 พัน บาท แต่ขณะถอดออก ซึ่งส่วนมากยังมีคุณภาพเหมือนขณะที่ซื้อมาใหม่ ๆ แต่ราคาคงเหลือ เพียงการนำไปขายเป็นเศษเหล็กตัวละไม่เกิน 30 บาท จะเห็นว่ามีราคาต่างกันมาก ด้วยเหตุที่กล่าวมานี้ จึงน่าจะพิจารณานำเอา ฮาร์ดดิสก์ ตัวเก่าที่ถอดออกจากคอมพิวเตอร์ ซึ่งจะย้ำอีกทีว่ายังมีคุณสมบัติ ใกล้เคียงกับตอนที่ซื้อมาแต่มีความจุน้อยกว่าความต้องการปัจจุบัน และไม่ถูกใจเจ้าของอีกต่อไปแล้ว นำมาคิดดัดแปลงเป็นของเล่นของใช้ตามแต่จินตนาการของผู้สร้างและความสามารถของชิ้นส่วน อุปกรณ์ภายใน ฮาร์ดดิสก์ ตัวนั้น ๆ
เนื่องจากถ้าพิจารณาชิ้นส่วนหลักใน ฮาร์ดดิสก์ แต่ละตัวจะประกอบด้วย 4-5 ส่วนใหญ่ ๆ ส่วนแรกคือ แผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ ส่วนที่สองคือ แผ่น ฮาร์ดดิสก์ ซึ่งอาจมีแผ่นเดียวหรือมากกว่าส่วนต่อไปคือ มอเตอร์สำหรับหมุนแผ่น ฮาร์ดดิสก์ ส่วนที่สี่คือ หัวอ่านหรือแขนอ่าน และส่วนสุดท้ายคือ แม่เหล็กถาวร ความแรงสูง จากทั้ง 5 ส่วนที่กล่าวมา 2 ส่วนสุดท้าย ซึ่งประกอบด้วย แขนอ่านและแม่เหล็กนั้น ดูจะ สามารถนำไปทำอะไรต่อมิอะไรได้หลายอย่าง เนื่องจากถ้าพิจารณาในเรื่องไฟฟ้าแล้วจะพบว่า สามารถเป็นได้ทั้ง SOLENOID หรือ ACTUATOR คือเมื่อใส่ไฟเข้าไปยังขดลวดของหัวอ่านจะเกิด สนามแม่เหล็ก ส่งแรงไปดูดหรือผลักกับสนามแม่เหล็กของแม่เหล็กถาวรทำให้แขนดังกล่าวเคลื่อนที่ ไปมาได้ตามความแรงของกระแสไฟฟ้าที่ป้อนเข้าไปยังขดลวดจึงสามารถนำไปเป็นกลไกที่บังคับด้วย ไฟฟ้ากับงานต่าง ๆ ได้หลายชนิด อีกลักษณะหนึ่งคือ การทำงานเป็น SENSOR หรือ PICK UP COIL เนื่องจากหลักการที่ว่าเมื่อขดลวดเคลื่อนที่อยู่ภายในสนามแม่เหล็ก จะเกิดกระแสไฟฟ้าขึ้นใน ขดลวดดังกล่าวตามหลักการกำเนิดไฟฟ้าซึ่งไมเคิลฟาราเดย์ได้ค้นพบเป็นคนแรกเมื่อ 175 ปีมาแล้ว จึงสามารถดัดแปลงไปเป็นอุปกรณ์ตรวจจับ การเคลื่อนที่ได้ เช่น เครื่องกำเนิดไฟฟ้า เครื่องมือวัดความ สั่นสะเทือน หัวอ่านจานเสียงและงานอื่น ๆ ที่มีลักษณะคล้ายคลึงกัน โดยเฉพาะแม่เหล็กถาวรที่ติดมากับแขนฮาด์ดิสก์ นั้น มีขนาดที่เหมาะสมและติดตั้งอยู่ใกล้ขดลวดมาก ประกอบกับแม่เหล็กเป็นแม่เหล็กที่มีความแรงของสนามแม่เหล็กสูงเนื่องจากทำจากโลหะชนิดพิเศษ คือ NEODEMIUM จึงทำให้ประสิทธิภาพของการทำงานดีกว่าอุปกรณ์ทั่ว ๆ ไป